How the day
บทความ SEO

ภาษา

ภาษา

ภาษาในการสมัครงาน

ภาษา เป็นคำสามัญธรรมดาที่มักปรากฏอยู่ในใบสมัครงาน พ่วงด้วยคำถามว่าคุณได้กี่ภาษาและได้มากน้อยเก่งเท่าไร เชื่อว่าหลายคนคงตอบว่าฉันเก่งภาษาอังกฤษ ไม่ระดับทั่วไปก็ระดับสูง

แต่จะมีสักกี่คนเชียวที่ต้องมองลงไปและถอนหายใจ ตอบในช่องที่บอกว่าระดับต่ำสุด เหมือนกับฉัน ถึงไม่อยากยอมรับ แต่มันก็คือความจริง

ความจริงที่ฉันทำให้มันเกิดขึ้น..จากกระทำของฉันที่ส่งผล ให้ฉันต้องหลีกหนีมันมาตลอดเกือบทั้งชีวิตของฉัน….

ในสมัยเด็ก คงมีหลายคนที่ต้องเคยได้ท่องศัพท์กับอาจารย์ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ และสอบเขียนอ่านศัพท์ในชั้นเรียน และทุกครั้งเมื่อคุณสอบตกเขียนผิด คุณก็คงถูกสั่งให้คัดมันอย่างน้อย 5 ครั้งต่อ 1 คำ ซึ่งฉันเป็น 1 ในเด็กเหล่านั้นที่เขียนผิดประจำ จนกระทั้งมีความขี้เกียจเกาะกิน ตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างเด็กๆแบบง่ายๆโดยการซื้อสมุดใหม่ เพื่อไม่ให้ต้องเขียนคำผิด ทำให้มันกลายเป็นความเคยตัว และเมื่อรู้ก็เมื่อตอนที่สาย

ฉันกลายเป็นคนเรียนไม่ทันเพื่อนในชั้น คำศัพท์แปลกใหม่ที่ยาวและออกเสียงยาก ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงรูปประโยคที่มีให้งงเป็นไก่ตาแตก ความอ่อนด้อยทางภาษา ทำให้ฉันตัดสินใจหลีกหนีจากมัน คิดหาหนทางง่ายๆ อย่างการหาภาษาอื่นมาทดแทน นั้นก็คือภาษาญี่ปุ่น ที่มีสอนในชั้นเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนของฉัน

ฉันคิดอย่างง่ายๆว่ามันไม่น่ายากเพราะอ่านการ์ตูนบ่อยๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ฉันน่าจะชำนาญได้ไม่ยาก แต่ความจริงก็ทำให้ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรที่ง่าย  ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่พยายาม ไม่เรียนรู้จากมันให้ผ่องแท้

ฉันพยายามที่จะเรียนรู้ พยายามที่จะเข้าใจ พยายามที่จะไปหาเรียนเสริม แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่แทรกเข้ามาก็คือความขี้เกียจ ความเบื่อ ความรู้สึกอิจฉา เมื่อเห็นว่าคนอื่นก้าวหน้าไปไกลกว่าเราแล้ว และเริ่มที่จะหาข้ออ้างในการหลีกหนีจากมันอีกครั้ง

ทว่าเหมือนสวรรค์เบื้องบนจะอยากให้ฉันสู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉันดันสอบเข้าได้คณะการตลาดนานาชาติในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ท่ามกลางอาจารย์สาขาวิชาต่างประเทศที่เหมือนตกใจไปพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าเด็กที่เรียนตกวิชาของพวกเขาจะดันสอบติดสาขานานาชาติได้ซะนี้

มันช่างเหมือนตลกร้าย ทั้งๆที่ฉันพยายามจะหนีแล้วแท้ๆ นี้มันบ้าจริงๆ แต่คนบ้ากว่าคือคนที่กดเลือกสาขานั้นตอนที่แอดมิตชั่น ซึ่งคนๆนั้นก็คือฉันเอง

ฉันคิดว่าลึกๆแล้ว ตัวฉันในตอนนั้น คงอยากที่จะดึงตัวเองเอาไว้ให้กลับไปเผชิญหน้ากับภาษาที่ฉัน สอบตกใจทุกเทอมการศึกษา ก็เป็นได้

ฉันว่าครั้งนั้นเป็นความพยายามครั้งที่ 3 ที่ฉันพยายามจะเข้าใจในภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ที่ใช้เรียนในทุกวิชา

คุณคงไม่เชื่อแน่ว่าหนังสือเรียนมหาลัยของฉันมันจะเต็มไปด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่รอยขีดสีๆและคำแปล บวกกับกระดาษPost-it ที่เขียนคำแปลเอาไว้เต็มไปหมด  ฉันพยายามหาหนังสือธุรกิจไทยมาเทียบอ่าน เวลาเรียนถ้าอาจารย์พูดไทยเสริมก็ดีไป แต่วิชาไหนที่ไม่พูดไทยเลย ก็ต้องอาศัยเพื่อนช่วยอธิบายให้ฟัง ฉันว่าฉันพอจะโชคดีอย่างหนึ่งที่เพื่อนในชั้นเรียนมหาลัยของฉันค่อนข้างดี ถึงดีมาก และฉันคิดว่าฉันคงไปได้ดีในการเรียนครั้งนี้

จนกระทั้งเมื่อฉันได้ฝึกงาน ฉันก็พบบททดสอบให้แปลเอกสารงานของบริษัท ซึ่งมันน่าร้องไห้ที่สุดท้ายแล้วฉันกลับแปลมันได้เหมือนเด็ก 3 ขวบมาก ๆ เหมือนกับเอาคำพจนานุกรมมาเขียนเรียงต่อกันเป็นประโยค ฉันคิดว่ามันน่าอับอายมากสำหรับเด็กเรียนนานาชาติแต่ทำได้เพียงเท่านี้

ฉันเริ่มที่จะรู้สึกน้อยใจกับตัวเอง เริ่มที่จะบอกตัวเองว่าทำไมถึงทำได้แค่นี้ ทำไมถึงทำได้ทุเรศแบบนี้ ทำไม …ทำไมถึงไม่เหมือนเพื่อนๆคนอื่นเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่คำถามที่ถามตัวเอง แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอิจฉา อิจฉาในความสามารถของคนอื่นที่ฉายแววมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่เรียนด้วยกัน  พวกเขาช่างเก่งเหลือเกิน ช่างมีความสามารถเหลือเกิน

ความกดดันทับถมพอๆกับความรู้สึกอคติในใจของตัวเองที่บอกตัวเองซ้ำ ๆว่าเรามันอ่อนภาษาและคงไม่ได้ดีมากไปกว่านี้ ทุกอย่างเหมือนส่งผล เมื่อฉันเรียนจบออกมา แม้จะเรียนไม่ได้คะแนนแย่อยู่ในระดับกลางสามัญเหมือนคนอื่น ๆ แต่ความจริงในโลกของการทำงานที่มีการแข่งขันสูงแล้ว ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘เป็ด’ ตัวหนึ่ง ที่ทำได้ทุกอย่างเว้นแต่ไม่สุดไปสักทาง

ยามเมื่อมือจดปากกาตอบเรื่องภาษาของตัวเอง ทุกครั้งฉันเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ในคอ ใบประกาศของตัวเองจบนานาชาติ แต่ความสามารถด้านภาษาสั้นเท่าหางอึ่ง มันน่ายกมาให้คนอื่นเห็นตรงไหนกัน!

แต่เพื่อให้ได้งานฉันต้องจำต้องเขียนมันลงไป แม้ว่าจะบอกว่าเล็กน้อยเท่าไหนก็ตาม ไม่ว่าจะภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่น ถึงสุดท้ายแล้วผลจากการสัมภาษณ์งานจะออกมาว่า ไม่ผ่าน ก็ตามที

เป็นเวลานานกว่าฉันจะต้องออกมายอมรับ ว่าตัวเองไม่สามารถหนีจากมันได้อีกแล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความต้องการเรื่องภาษามีมากขึ้น ไม่เพียงแต่แค่อังกฤษ ญี่ปุ่น หากแต่มีจีน ฝรั่งเศส เกาหลี เยอรมัน เพิ่มเข้ามา นี้ยังไม่รวมถึงภาษาเพื่อนบ้านใกล้ๆประเทศของเราอีก ที่เริ่มมีการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้กำแพงที่เรียกว่าอคติทางภาษาจะตั้งอยู่สูงมากขนาดไหน…แต่สำหรับฉันที่ตอนนี้ตัดสินใจแล้วที่จะเลิกหนีมัน และสู้กับมันเป็นครั้งที่ 4 ก็เปรียบเหมือนมือของฉันกำลังถือค้อนปอนด์อันหนึ่งไว้ในมือ

ที่มันอาจจะใช้เวลานานกว่าจะทลายอคตินั้นลงไป…หรือไม่ก็ทำให้เป็นช่องโหว่ให้ฉันได้ออกไปจากกรอบที่ฉันสร้างขึ้นมาเอง แต่ฉันก็จะทำ…เพื่อให้ได้บอกกับตัวเองเต็มปากว่า…ฉันได้ทำมันแล้ว..ได้ก้าวเดินออกมาแล้ว..สู่โลกแห่งภาษาที่ฉันหนีมันมาตลอดชีวิต

และคุณละ ได้เริ่มก้าวเดินหรือยัง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวจะเริ่มเรียนรู้ภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยล่ะก็..ฉันขอเป็นกำลังใจให้กับคุณ มันไม่มีสิ่งไหนเสียหาย หากคุณจะทำผิด จะยอมแพ้ไปเป็นครั้งคราว หากแต่อย่าได้หลีกหนีไปจากมัน ตราบใดที่คุณยังคงทำงาน ยังคงใช้ชีวิตในสังคมที่ก้าวเข้าสู่ AEC ล่ะก็..คุณก็ไม่มีวันหนีมันพ้น

จงเปลี่ยนแปลงความหวาดกลัว ความเหนื่อยล้า ความรู้สึกยอมแพ้ให้กลายเป็นพลัง กลายเป็นหอกให้คุณได้พิชิตมันไปให้ได้ และจงจำไว้ ไม่ใช่คุณคงเดียวที่เคยยอมแพ้ให้มัน ยังมีฉันและคนอีกมากมายที่เป็นเหมือนกัน ขอให้คุณโชคดี

Facebook Comments

Add comment