สิ่งที่ควรรู้หลังลาออกจากงาน หรือว่างงาน
ในปัจจุบันกาลที่การหางานเป็นเรื่องที่ยาก จนทำให้เกิดปัญหาการว่างงานมากมายขึ้น เชื่อว่าหลายคนอาจสติแตก เครียด เพราะการดำเนินชีวิตปัจจุบันนั้นจำเป็นต้องมีสิ่งที่ต้องใช้ต้องจ่ายไปมากมาย และแน่นอนว่าคนเหล่านั้นมักจะหลงลืมที่พึ่งสำคัญหนึ่งที่ของพวกเขาไป..นั้นก็คือสำนักงานประกันสังคม ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าเขามีกองทุนประกันสังคม ในกรณีที่ลูกจ้างถูกไล่ออก ลาออก หรือว่างงานด้วย
เรามาดูกันว่าถ้าเกิดวันนี้เราต้องถูกไล่ออก หรือเราตัดสินใจลาออกเอง ทำให้กลายเป็นคนว่างงาน เราจะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์ อันพึ่งเป็นสิทธิของเราที่จะต้องรับ เพราะหากบางคนไม่ไปแจ้ง ก็จะเสียสิทธิตรงส่วนนี้ไป ซึ่งถือว่าน่าเสียดายอย่างมาก
อย่างแรกเราต้องมาตรวจสอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขก่อนว่าเราอยู่ในหลักเหล่านั้นไหม
- จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในช่วงระยะเวลา 15 เดือนหรือไม่ ก่อนที่เราจะว่างงาน
- มีระยะเวลาการว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป
- เป็นผู้มีความสามารถในการทำงาน พร้อมทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดให้ และต้องไม่ปฎิเสธการฝึกงาน
- เราต้องไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องในกรณี ทุจริตต่อหน้าที่ ,ตงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย,ฝ่าฝืนข้อบังคับ ร้ายแรง ,ละทิ้งหน้าที่ 7 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร ,ได้รับโทษจำคุก และสุดท้าย ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
ถ้าเราคิดว่าหลักเกณฑ์ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเราเข้าทั้งหมด เข้าสู่ขั้นตอนการต่อมานั้นคือขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงาน โดยเราจะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงานได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บ www.empui.doe.go.th โดยที่เราไม่ต้องเงินทางไปที่สำนักงานจัดหางานแต่อย่างใด ภายในนั้นจะรายละเอียดและขั้นตอนดำเนินการอย่างละเอียดเพื่อให้เราเข้าใจและขึ้นทะเบียนในระบบอย่างเรียบร้อย และอย่าลืมที่จะปริ้นหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียน และแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส.2-01/7) เพื่อนำไปยื่นที่ประกันสังคมต่อไปด้วยล่ะ
หลักฐานที่ต้องนำไปในวันที่ยื่นตามกำหนดนัดจากประกันสังคมคือ
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส.2-01/7)
- หนังสือรับรองการออกจากงานหรือสำเนาแบบแจ้งการลาออกจากงานของผู้ประกันตนออกจากงาน (สปส.6-09) กรณีที่ไม่มีสำเนา (สปส.6-09) ก็สามารถขึ้นทะเบียนว่างงานได้
- หนังสือหรือคำสั่งจากนายจ้างให้ออกจากงาน (ถ้ามี)
- หนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่งมีชื่อของเราอยู่ และมีข้อความชัดเจน โดยจะเลือกใช้ธนาคารใดก็ได้
- บัตรประชาชนหรือบัตรที่มีรูปถ่าย ซึ่งทางราชการออกให้พร้อมสำเนา
เมื่อเอกสารทุกอย่างครบถ้วนดีแล้วเราก็ไปทำการยื่นที่สำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานครพื้นที่หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดที่เราอยู่ (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข) ในวันละเวลาราชการคือ 8:30-16:30 น.โดยผู้ที่ยื่นเรื่องนั้น ต้องเป็นเจ้าของเรื่องเอง ไม่สามารถให้ใครไปทำแทนได้
หลังจากที่เราได้ทำการยื่นเอกสารเรียบร้อย เราจะต้องทำการรายงานตัวการว่างงานอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ภายในเว็บไซต์ จะแจ้งวันที่นัดรายงานตัวแต่ละเดือน โดยเข้าไปกดหัวข้อรายงานตัว เราสามารถที่จะรายงานัวล่วงหน้าและล่าช้าได้ ไม่ต่ำกว่า 7 วัน
ภายหลังจากที่รายงานตัวเรียบร้อยแล้ว ทางสำนักงานประกันสังคม จึงจะโอนเงินเข้าบัญชีที่เราได้แนบไปตอนยื่นเอกสาร ไม่เกิน 7-10 วัน
มาถึงตรงนี้ทุกคนน่าจะเริ่มเข้าใจขั้นตอนการดำเนินการเรียบร้อยส่วนหนึ่งแล้ว และคงอยากทราบว่าสิทธิประโยชน์ทดแทนที่เราจะได้นั้นมากน้อยขนาดไหน ซึ่งมันแบ่งออกเป็น 2 กรณีหลักๆคือ
- กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงิน 50% ของรายได้ (เงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
- กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดเวลา ได้รับเงิน 30% ของรายได้ (เงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000บาท) ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน
เชื่อว่าคงมีหลายคนหลังจากที่ว่างงานไปได้สักระยะหนึ่งอาจจะหางานใหม่ทำ ซึ่งถ้าโชคดีก็อาจได้งานต่อเลย หรือหากโชคร้ายก็อาจจะยังคงต้องว่างงานต่อไป เมื่อมาถึงตรงจุดนั้น คงมีหลายคนที่เริ่มคิดจะลองทำธุรกิจเล็ก ๆของตัวเอง และถือทำอาชีพอิสระ เป็นของตนเอง ในกรณีดังกล่าวนี้ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานะจากผู้ว่างงานไปเป็นผู้ประกันตนเอง (มาตรา 39 )
พอมาถึงตรงนี้ต้องมีคนเจอในเอกสารหรือในเว็บของประกันสังคมแน่นอนเกี่ยวกับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งมันจะมีระบุอยู่ในส่วนของคุณสมบัติของผู้สมัครเป็น ผู้ประกันตนเอง มาตรา 39 ซึ่งจริง ๆแล้ว ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ก็คือ ผู้ที่ประกันตนในรูปแบบบริษัทมาก่อนนั้นเอง หรือก็คือ ถ้าเราทำงานบริษัทมาแล้ว 12 เดือน ส่งเงินสมทบ ที่เราส่งครึ่งหนึ่งกับนายจ้าง ครบ 12 เดือน เราก็คือผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นั้นเอง
ทั้งนี้ ในกรณีที่เราจะเปลี่ยนเป็นผู้ประกันตนเอง มาตรา 39 เราต้องยื่นเรื่องหลังจากวันที่เราลาออกจากงานไม่เกิน 6 เดือนและต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพของกองทุนประกันสังคมอีกด้วย
เอกสารที่ใช้ยื่นเพื่อสมัคร มีดังนี้
- ใบสมัครตามแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส.1-20) หาได้จากในเว็บของทางประกันสังคม หรือไปขอที่ประกันสังคมโดยตรง
- บัตรประชาชนหรือบัตรที่มีรูปถ่าย ซึ่งทางราชการออกให้พร้อมสำเนา
ในกรณีที่ผู้ประกันตนเองมาตรา 39 อยากที่จะให้ทางประกันสังคมหักเงินจากทางบัญชีเองโดยไม่ต้องไปยื่นจ่ายตามธนาคาร ก็ให้นำสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (ประเภทออมทรัพย์) ไปด้วย
โดยหลังจากที่เราได้ทำการยื่นเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย เราก็จะถือเป็นผู้ประกันตนเองตามมาตรา 39 และต้องทำการจ่ายเงินสมทบนำส่งประกันสังคมในทุกเดือน เดือนละ 432 บาท ที่ธนาคารดังต่อไปนี้ โดยเลือกธนาคารใดก็ได้ คือ
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
- .ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
โดยทั้ง 6 ธนาคารนี้ จะไม่มีการเสียค่าธรรมเนียมใด ๆเพิ่มเติม
หากแต่ในกรณีที่ค้างจ่ายเกิน 2 เดือนขึ้นไป ผู้ประกันตนเองมาตรา 39 จะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวน 8.64 บาท รวมเป็นเงิน 440.64 บาท ซึ่งในกรณีนี้อาจเพิ่มขึ้นได้ หากผู้ประกันตนเองค้างเกิน 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งผู้เขียนยังไม่เคยถึงขั้นนั้น และในกรณีนี้เอง ท่านผู้ประกันตนเองต้องไปจ่ายเงินค่าปรับและเงินสมทบ ณ หน่วยงานประกันสังคมด้วยตนเอง เว้นแต่เพียงเดือนปัจจุบันที่อาจต้องไปจ่ายที่ธนาคาร เพราะทางประกันสังคม รับจ่ายเพียงเดือนที่ค้างเท่านั้น
ผู้เขียนหวังว่าบทความดังกล่าวข้างตนนั้นจะมอบประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่านที่เป็นผู้ว่างงาน หรือกำลังจะเป็น รวมไปถึงผู้ที่จะไปเป็นผู้ประกันตนเองตามมาตรา 39 ไม่มากก็น้อย และต้องขออภัย หากมีข้อมูลได้ไม่ครบถ้วนหรือไม่อัพเดทมากพอ ผู้อ่านสามารถเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิของท่านที่เป็นมาตรา 33 และ 39 /ลูกจ้างได้จาก ลิงค์ดังต่อไปนี้ http://lb.mol.go.th/download/sso/m33m39E.pdf ขอให้ทุกท่านโชคดี
ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงจากเว็บไซค์
อ่านเรื่องราวเกี่ยวข้องได้ที่ วิธีเตรียมตัวทำงาน